
ศึกพรีเมียร์ลีกคืนนี้มีระอุเมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งกลับมาฟอร์มเข้าฝักในสองเกมหลังสุด เตรียมเปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ด รับการมาเยือนของ เชลซี ที่ผลงานยังขึ้นๆลงๆ ต้องรอติดตามกันว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะมีไม้เด็ดพิชิตคู่แข่งยังไงในคืนนี้ แต่ก่อนเกมมาเกาะติดประเด็นที่น่ารู้กัน
1.คาวานี่เดบิวต์ การจบฤดูกาลที่แล้วด้วยการยิงถึง 23 ประตูในทุกรายการเกือบทำให้แฟนผีเชื่อว่า อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล คือกองหน้าที่ทีมต้องการ อย่างไรก็ตามปัญหาสำคัญของสตาร์แมนฯ ยูไนเต็ดรายนี้คือความสม่ำเสมอ
“เขาเริ่มต้นฤดูกาลไม่ดีอีกแล้ว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงพูดตลอดว่าพวกเราต้องการกองหน้าหมายเลข 9 ระดับท็อปคลาส” พอล สโคลส์ ตำนานแข้งผีแดงกล่าว ฤดูกาลนี้ มาร์กซิยาล ยังคงยิงประตูไม่ได้แถมผลงานในสนามยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก ตัวอย่างมีให้เห็นได้ชัดในเกมล่าสุดกับ เปแอสเช
โซลชา รู้ดีว่าเขาจำเป็นต้องมีกองหน้าเบอร์ 9 จอมถล่มตาข่ายหาก แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการให้ซีซั่นนี้กลับมาอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็น และการที่ มาร์กซิยาล โดนโทษแบนอยู่น่าจะเป็นโอกาสดีที่ เอดินสัน คาวานี่ กองหน้าวัยเก๋าที่เซ็นสัญญามาในตลาดนักเตะวันสุดท้ายจะได้พิสูจน์ตัวเองเสียที
หัวหอกชาวอุรุกวัยมีสถิติยิงประตูใส่ เชลซี ทั้งหมด 3 ลูกจาก 8 เกม หากไม่ใช่เรื่องปัญหาความฟิต คงไม่มีเหตุผลอื่นแล้วที่ โซลชา จะไม่ส่งเขาลงตัวจริงในเกมนี้
2.ตวนเซเบ้ลงต่อหลังจาก อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ถูกปล่อยไปเก็บประสบการณ์กับ แอสตัน วิลล่า ในฤดูกาล 2018/19 เจ้าตัวก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะกลับมาแย่งตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กตัวจริงของ “ผีแดง” ให้ได้ แต่ทว่าฤดูกาล 2019/20 กลับกลายเป็นฝันร้ายของเขาอย่างแท้จริงแม้จะมีผลงานที่น่าประทับใจอยู่หลายเกมแต่เขาโชคร้ายที่ต้องเจอกับอาการบาดเจ็บแฮมสตริงอยู่ตลอด โดยนับตั้งแต่เกม คาราบาว คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศกับ โคลเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อช่วงเดือนธันวาคมปีก่อน เขาก็ไม่ได้กลับมาลงสนามให้ทีมชุดใหญ่อีกเลยจนกระทั่งฤดูกาลนี้โชคชะตาเริ่มเข้าข้างเมื่อ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ เอริก ไบยี่ ต่างไม่พร้อมในเกมดวล เปแอสเช นั่นทำให้เขาได้กลับมาลงสนามในรอบ 10 เดือน
ผลงานสุดโดดเด่นในการจัดการ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ แบบอยู่หมัดจนได้รับคำชมล้นหลามทำให้แฟนผีหลายคนเชียร์ให้ ตวนเซเบ้ ลงแทนที่ของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มตกอย่างหนัก แต่ก็ต้องอย่าลืมว่านักเตะเพิ่งหายจากการบาดเจ็บยาว การโหมใช้งานอาจจะมีผลลพัธ์ออกมาไม่ดี ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วกับ เอริก ไบยี่ ที่บาดเจ็บไปแล้วอีก 3-4 สัปดาห์ ต้องรอดูกันว่า โซลชา จะให้เขาลงเล่นต่อเนื่องหรือไม่
3.ถึงเวลาซีเย็คตัวจริง ฮาคิม ซีเย็ค เซ็นสัญญาเข้ามาร่วมทัพ เชลซี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปีกชาวโมร็อกโกเดินทางมาที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ช้ากว่ากำหนดเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า แถมเจ้าตัวดันโชคร้ายต่อเนื่องเมื่อได้รับบาดเจ็บในเกมอุ่นเครื่องกับ ไบรท์ตัน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม
หลังจากวันนั้นเขาลงสนามเพียงแค่ 2 นัดเท่านั้น โดยลงมาในฐานะตัวสำรองสองนัดหลังสุด (เซาธ์แฮมป์ตัน, เซบีย่า) รวมเป็นเวลาทั้งหมด 46 นาที แฟร้งค์ แลมพาร์ด ดูจะยังไม่เร่งใช้งานมากนักแต่ในคืนนี้มีโอกาสอยู่เหมือนกันที่เขาจะออกสตาร์ทตัวจริงเป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก
น่าสนใจว่ากุนซือ “สิงห์บลูส์” จะจัดใครลงสนามเพราะว่าตัวเลือกในแนวรุกมีมากทีเดียว ที่แน่นอนคือ ติโม แวร์เนอร์ คงจะยึดหน้าเป้าเช่นเดิมพร้อมมีกองกลางตัวสนับสนุนอย่าง ไค ฮาแวร์ทซ์ ขณะที่ตัวรุกฝั่งขวา คริสเตียน พูลิซิช คงไม่พลาดออกสตาร์ทตัวจริง
ดังนั้นตำแหน่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับ ซีเย็ค คือตัวรุกฝั่งซ้าย นั่นหมายความว่า เมสัน เมาน์ท ที่ลงสนามมาตลอดอาจถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง แต่คงต้องดูการตัดสินของ แลมพาร์ด ในคืนนี้อีกครั้ง
4.คู่เซนเตอร์ที่กำลังตามหาคู่เซนเตอร์แบ็กกลายเป็นปัญหาหลักที่ แลมพาร์ด พยายามแก้ไขมาตั้งแต่เข้ามาคุมทีมเมื่อซัมเมอร์ปี 2019 คูร์ท ซูม่า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ ฟิกาโย โทโมริ เข้าๆออกๆทีมอยู่ตลอดขึ้นอยู่กับผลการแข่งขัน, ความผิดพลาด, ความฟิต และฟอร์มการเล่น
แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่า แลมพาร์ด จะหาเซนเตอร์แบ็กที่ลงตัวมากที่สุดได้แล้ว หลัง ซูม่า และนักเตะที่เซ็นสัญญาฟรีมาในช่วงซัมเมอร์อย่าง ติอาโก้ ซิลวา ทำผลงานได้ดี โดยทั้งสองเก็บคลีนชีทได้ในเกมพบ เซบีย่า 0-0 เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา และก่อนหน้านี้ที่ลงพร้อมกันยังไม่เสียประตูในเกมถล่ม คริสตัล พาเลซ 4-0 ด้วย
ในเกมลีกล่าสุดกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ซูม่า ได้ลงจับคู่กับ คริสเตนเซ่น แต่พวกเขาเสียถึง 3 ประตู นั่นเป็นเหตุผลมากขึ้นว่าทำไม ซิลวา ควรออกสตาร์ทตัวจริงพร้อมกับ ซูม่า ในคืนนี้
5.ผีข่มที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ในยุคพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1992-93 หากนับรวมทุกรายการ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี เป็นทีมที่เจอกันมากที่สุดแล้ว โดยคืนนี้จะเป็นการเจอกันครั้งที่ 82
ช่วงหลังมานี้ เชลซี มีสถิติในการเยือน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่ดีเท่าไหร่หลังไม่ชนะเลยใน 7 เกมลีกหลังสุด (เสมอ 4 แพ้ 3) ซึ่งนี่ถือเป็นการไร้ชัยที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ไม่ชนะ 16 เกมติดต่อกันช่วงระหว่างปี 1920-1957
อย่างไรก็ตามฤดูกาลนี้ “ผีแดง” ลงเล่นในบ้านมา 2 นัดจบลงด้วยความพ่ายแพ้ทั้งสิ้น มีแค่ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้คาบ้านสามเกมแรกในลีกนั่นคือฤดูกาล 1930-31 นอกจากนี้ครั้งสุดท้ายที่ “ผีแดง” แพ้คา โอลด์ แทรฟฟอร์ด 3 นัดต่อกันในลีกต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1979
เพิ่มเติม: autovermietung-leipzig.net
|